รีวิว Immaculate อาจไม่คุ้นหูคนในศาสนาอื่น แต่สำหรับชาวโรมันคาธอลิกแล้ว คำนี้เป็นคำสำคัญ จริงๆ แล้วคำนี้เป็นคำย่อของคำละตินว่า Immaculate Conception of Mary หรือ immaculata conceptio ในประเทศไทย เรียกกันว่า Mother of the Immaculate Conception ซึ่งหมายถึงการที่พระเจ้าประทานครรภ์ที่บริสุทธิ์ไร้มลทินให้กับพระแม่มารี พระแม่มารีคือมารดาที่ให้กำเนิดบุตรชาย คือ พระเยซู ส่วนมุมมองของชาวคาธอลิกมองว่าพระแม่มารีเป็นมารดาของพระผู้ไถ่บาป ซึ่งให้กำเนิดเส้นทางแห่งการไถ่บาปอันยิ่งใหญ่สำหรับพระเยซู
และนี่อาจเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา สิ่งที่น่าสนใจนอกเหนือจากการเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ใช้ศาสนาคริสต์เป็นพื้นฐาน อาจเป็นเรื่องของซิดนีย์ สวีนีย์ นักแสดงสาวสุดฮอตที่มีงานยุ่งมาก เธอเองมีโอกาสได้รู้จักโปรเจ็กต์นี้มานานกว่า 10 ปี แต่ยังไม่มีใครสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ จึงตัดสินใจทำโปรเจ็กต์นี้ต่อเอง ผ่านทางบริษัทผลิตภาพยนตร์ของเธอเอง Fifty-Fifty Films สวีนีย์รับหน้าที่ผลิตภาพยนตร์ตั้งแต่เริ่มต้น ดูแลบทภาพยนตร์และแสดงนำ โดยนำไมเคิล โมฮัน ซึ่งเคยร่วมงานกับสวีนีย์ในภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง The Voyeurs (2021) มาก่อน
‘Immaculate’ เริ่มต้นด้วยซิสเตอร์เซซิเลีย (ซิดนีย์ สวีนีย์) แม่ชีสาวชาวอเมริกันผู้ศรัทธาในพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง เธอเดินทางไปอิตาลีเพื่อไปใช้ชีวิตในคอนแวนต์ในชนบทของอิตาลี ซึ่งเป็นที่พักผ่อนสุดท้ายของแม่ชีสูงอายุ ตามคำเชิญของบาทหลวงซัล เทเดสกี (อัลวาโร มอร์เต) เธอสัญญากับคาร์ดินัล ฟรังโก เมโรลา (จิออร์จิโอ โคลันเจลี) ว่าเธอจะยังคงเป็นพรหมจารี แต่แล้วเธอก็ตั้งครรภ์อย่างน่าอัศจรรย์โดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ เหมือนกับแม่ของพระผู้ช่วยให้รอด คำถามคือ เธอตั้งครรภ์ได้อย่างไร และสิ่งที่อยู่ในครรภ์เป็นพรจากพระเจ้าจริงๆ หรือไม่
แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะโปรโมตเป็นหนังสยองขวัญที่มีลักษณะคล้ายกับ The Nun เล็กน้อย แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว มันทำให้ฉันนึกถึงหนังสยองขวัญ/ทริลเลอร์คลาสสิกเรื่อง Suspiria โดยเฉพาะเนื้อเรื่องที่ชาวต่างชาติเข้าไปในพื้นที่ปิดที่มีปริศนาซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตาม ต้องสังเกตว่าผู้เขียนนึกถึงเวอร์ชันภาษาอิตาลีต้นฉบับจากปี 1977 ในใจลึกๆ ซึ่งเป็นแนวระทึกขวัญมากกว่าเวอร์ชันรีเมคปี 2018
ล้างคาวศาสนาด้วยฉากโหด รีวิว Immaculate
เนื้อเรื่องครึ่งเรื่องแรกเริ่มด้วยจังหวะ Suspend สร้างความระทึกขวัญและปริศนาเกี่ยวกับคอนแวนต์ ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มความสยองขวัญด้วยภาพที่ดูหม่นหมอง เล่นกับจังหวะเงียบ ภาพมืด และจังหวะ Jump Scare ที่ทั้งจำเป็นและไม่สม่ำเสมอ เน้นไปที่ความตกตะลึงมากกว่าความสยองขวัญ ก่อนที่ครึ่งเรื่องหลังจะค่อยๆ เปลี่ยนโทนของหนังไปเป็นหนังระทึกขวัญสุดโหด ได้เรต R เต็มๆ ด้วยเลือด ความรุนแรง อวัยวะภายใน และศพ โหดร้ายเกือบเท่ากับเรื่อง Midsommar (2019) เลยทีเดียว และหนังก็ทำได้ดีทีเดียวในการเพิ่มระดับความโหดร้าย ความระทึกขวัญ และความตื่นเต้นระทึกขวัญที่ทำให้คุณรู้สึกตึงเครียดไปชั่วขณะ หากจะพิจารณาว่าเป็นหนังระทึกขวัญที่เน้นการดูเพื่อความสนุก เป็นหนังเกรด B ที่เล่นกับความระทึกขวัญและความตื่นเต้น ก็ถือว่าดีทีเดียว
แม้ว่าหนังจะมีความยาวเพียง 89 นาที หรือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ก็ไม่จริงทั้งหมดว่านี่คือหนังเกรด B สิ่งที่ภาพยนตร์เชิญชวนให้เราสังเกตคือการผ่าตัดเพื่อบิดเบือนความบิดเบือนของคอนแวนต์ รวมถึงความพยายามที่จะล้างมลทินที่เกิดขึ้น (โดยฝีมือของซีซีเลีย) รอยด่างดังกล่าวสามารถตีความได้ทั้งจากการเมืองของคริสตจักรที่ผู้ชายมีอำนาจเหนือพอที่จะใช้พลังของตนเพื่อควบคุมสิทธิของร่างกายผู้หญิง การผ่าตัดธรรมชาติของมนุษย์โดยแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ซิสเตอร์ไปจนถึงคาร์ดินัลก็ไม่ต่างจากมนุษย์เหม็นๆ ที่เต็มไปด้วยราคะที่ใช้ไม้กางเขนเป็นฉากหน้ารีวิว Immaculate
ในขณะที่ภาพยนตร์ใช้สัญลักษณ์ของการกำเนิดของพระแม่มารีเพื่อตั้งคำถามร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งคำถามและท้าทายมุมมองของความเชื่อ ในศาสนา ซีซีเลียอาจถูกมองว่าเป็นพระแม่มารีเวอร์ชัน 2.0 แต่จากมุมมองอื่น เธอก็ไม่ต่างจากภาชนะที่ประสูติของพระเยซู (?)
หากเราพิจารณาคำถามที่ผิวเผินที่สุด ทำไมพระเยซูจึงประสูติ (อีกครั้ง) และทำไมถึงเป็นซีซีเลีย เธอพร้อมแค่ไหนที่จะตั้งครรภ์? การตั้งครรภ์ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องศีลธรรมที่น่าสงสัย ความเข้ากันได้/ความไม่ลงรอยกันระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ การล่าแม่มด และสัญลักษณ์ของการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือและอาวุธเพื่อควบคุมผู้คน ซึ่งท้ายที่สุดก็กลับกลายเป็นว่าเครื่องมือเหล่านั้นกลายมาเป็นเครื่องมือในการปลดปล่อยและทำลายผู้ที่ใช้และเชื่อมั่นในเครื่องมือเหล่านั้น
บทยังขาดความรัดกุม
แต่ก็น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถหยิบเอาประเด็นใดๆ มาขยายความหรือผสานเข้าเป็นโครงเรื่องที่มั่นคงได้ แม้แต่ประเด็นเดียวก็ตาม ไม่ใช่ว่าหนังไม่ได้ยัดเยียดอะไรให้ตื้นเขินและยุ่งเหยิง แต่ตัวหนังเองขาดความกระชับในการเล่าเรื่อง จึงไม่สามารถพาผู้ชมไปได้ไกลเท่าที่ควร ทั้งในการทำความเข้าใจและแยกแยะสิ่งที่เกิดขึ้นในคอนแวนต์และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์: ปัญหาในคอนแวนต์นี้คืออะไรกันแน่? วิทยาศาสตร์คืออะไร? ความเชื่อคืออะไร? ระหว่างผู้คน การเมือง ศาสนา สิ่งที่บิดเบือน? ซิสเตอร์ซีซีเลียคิดและรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของหญิงพรหมจารี? แม่ชีในชุดคลุมสีแดงมีบทบาทอย่างไรในคอนแวนต์?
การปลดปล่อยซิสเตอร์จากระบบที่บิดเบือนและการเมืองที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังไม้กางเขนเป็นไปตามที่เป็นอยู่ในภาพยนตร์จริงหรือ? หรือแม้แต่การอธิบายคำถามง่ายๆ ว่าการตั้งครรภ์มาจากไหน? การขาดความกระชับในบทภาพยนตร์ในหลายจุดทำให้ภาพยนตร์ขาดความอยากรู้ ขาดอารมณ์ ขาดการสำรวจจิตใจตัวละคร ขาดการเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกันซึ่งจะทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าพวกเขาต้องการให้ภาพยนตร์เป็นอย่างไร
สิ่งที่เหลืออยู่คือการสนุกสนานกับภาพที่ดูไม่สบายใจ สร้างความกลัวผ่านปริศนาที่ยังขาดสาเหตุ การหาจังหวะที่เหมาะสมในการทำให้ผู้ชมตกใจจนตัวโยน ไปจนถึงฉากความรุนแรงและการนองเลือดที่โหดร้ายจนถึงตอนจบของเรื่อง แม้ว่าการแสดงของ Sweeney ซึ่งเป็นดาราเพียงคนเดียวที่มีเสน่ห์ในเรื่องและเป็นผู้แบกรับภาพยนตร์เรื่องนี้จะพูดได้ว่าค่อนข้างดี แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องพิสูจน์การแสดงของ Scream Queen ที่ทุ่มเทให้กับการแสดงฉากทรมาน ทั้งฉากเซ็กซี่ (เฉยๆ) รวมถึงฉากล้มและคลาน ฉากนองเลือด ฉากกรีดร้องของการทรมาน โดยเฉพาะฉาก Long Take ฉากสุดท้ายที่การแสดงของเธอชวนขนลุกจนพูดได้ว่าสุดท้ายแล้วเหลือเพียงความพึงพอใจและตอนจบเท่านั้น
แม้หนังจะขาดความกระชับของบท ทั้งในแง่ของการเล่าเรื่องโดยรวมให้สมบูรณ์แบบ และการสร้างความขัดแย้งที่ตั้งคำถามถึงศาสนาอย่างกล้าหาญ ทำให้หนังขาดความลึกซึ้งและความน่าพอใจที่ยังไม่เข้าถึงแก่นแท้ และยังคงมีความสงสัยที่ไม่สามารถผลักดันความท้าทายอันทรงพลังให้ถึงขีดสุดและน่าพอใจได้ (อย่างน่าพอใจจริงๆ นะเพื่อน)รีวิว Immaculate
แต่ถ้ามองเป็นหนังสยองขวัญระทึกขวัญที่เลือดสาด รุนแรง และเลือดสาด ในรูปแบบการเล่าเรื่องที่ใช้อารมณ์แบบหนังบีที่เน้นฉากเซ็กซี่ (นิดหน่อย) ฉากรุนแรง บรรยากาศหม่นหมองและไม่น่าเชื่อถือ และการแหกคุก (ทั้งในแง่ของการสร้างคอนแวนต์ การแหกกฎศาสนา และการเมืองแบบชายเป็นใหญ่) ก็ถือว่าเป็นความบันเทิงที่ชวนดื่มป๊อปคอร์นได้ดี เพียงแต่ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดตลอดทั้งเรื่องว่าหนังเรื่องนี้ควรจะทำได้ดีกว่านี้